วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

อาณาจักรทวารวดี

อาณาจักรทวารวดี



ในสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้นดินแดนอาณาจักรสุวรรณภูมิ ได้ถูกครอบครองโดยแคว้นอิศานปุระ ของอาณาจักรฟูนัน(หรือฟูนาน) และอาณาจักรเจนละ  (หรือเจินละ)  ซึ่งปรากฏหลักฐานว่า ขณะที่อาณาจักรฟูนันสลายตัวลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ได้มีชนชาติอีกพวกหนึ่ง ที่แตกต่างกับชาวเจนละ ในด้านศาสนาและศิลปกรรม ได้มีอิทธิพลเข้าครอบครองดินแดนทางตะวันตกของอาณาจักรเจนละ ตั้งแต่เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรีขึ้นไปทางเหนือจนถึงเมืองลำพูนได้
                  จดหมายเหตุของภิกษุจีน ชื่อเหี้ยนจั๋งหรือพระถังซัมจั๋ง(Hieun Tsing) ซึ่งเดินทางจากเมืองจีนไปประเทศอินเดียทางบก ราว พ.ศ. ๑๑๗๒–๑๑๘๘ และภิกษุจีน อี้จิง (I-Sing) ได้เดินทางอินเดียไปทางทะเล ในช่วงเวลาต่อมานั้น    ได้เรียกอาณาจักรใหญ่แห่งนี้ ตามสำเนียงชนพื้นเมืองในอินเดียว่า โลโปตี้ หรือจุยล่อพัดดี้(ทวารวดี)  เป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองศรีเกษตร(อยู่ในพม่า)   ไปทางตะวันออกกับเมืองอิศานปุระ(อยู่ในเขมร) ปัจจุบันคือส่วนที่เป็นดินแดนภาคกลางของประเทศไทย
               พงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า “สามารถเดินเรือจากเมืองกวางตุ้งถึงอาณาจักรทวารวดีได้ในเวลา ๕ เดือน”
                หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๓ คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง  ๑๙  ม.ม. พบที่นครปฐม และอู่ทองนั้น    พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร”และ  มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง  ทำให้เชื่อได้ว่า ชนชาติมอญโบราณ ได้ตั้งอาณาจักรทวารวดี(บางแห่งเรียกทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ และมีชุมชนเมืองสมัยทวาราวดีสำคัญหลายแห่งได้แก่     เมืองนครชัยศรี (นครปฐมโบราณ น่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำท่าจีน) เมืองอู่ทอง (จังหวัดสุพรรณบุรีในลุ่มแม่น้ำท่าจีน)   เมืองพงตึก(จังหวัดกาญจนบุรี ในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง )   เมืองละโว้(จังหวัดลพบุรีใน ลุ่มแม่น้ำลพบุรี)    เมืองคูบัว(จังหวัดราชบุรี ในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง)  เมืองอู่ตะเภา(บ้านอู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) เมืองบ้านด้าย(ต.หนองเต่า อ.เมือง จ.อุทัยธานี ในแควตากแดด) เมืองซับจำปา(บ้านซับจำปา จังหวัดชัยนาทในลุ่มแม่น้ำป่าสัก  ) เมืองขีดขิน(อยู่ในจังหวัดสระบุรี) และบ้านคูเมือง(ที่อำเภออินทรบุรี จังหวัดสิงห์บุรี) นอกจากนั้นพบเมืองโบราณสมัยทวารวดีอีกหลายแห่ง เช่น ที่บ้านหนองปรง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี  รวมทั้งหมู่บ้านในเขตอำเภอบ้านหมี่ และโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีเป็นต้น
                ชุมชนเมืองสมัยทวารวดีในภาคเหนือ พบที่เมืองจันเสน(อยู่ที่ตำบลจันเสน  อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ลุ่มแม่น้ำลพบุรี) เมืองบึงโคกช้าง (อยู่ในตำบลไผ่เขียว อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานีในแควตากแดด ลุ่มน้ำสะแกกรัง) เมืองศรีเทพ(ที่จังหวัดเพชรบูรณ์  ลุ่มแม่น้ำป่าสัก) เมืองหริภุญชัย(ที่จังหวัดลำพูนในลุ่มแม่น้ำปิง) และ เมืองบน(อยู่ที่ อำเภอพยุหคิรี จังหวัดนครสวรรค์  ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา) 
                ชุมชนเมืองสมัยทวารวดีที่ในภาคตะวันออก  มีเมืองโบราณสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๘ อยู่ที่เมืองพระรถ (อยู่ตำบลหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม  จังหวัดชลบุรี ซึ่งพบเครื่องถ้วยเปอร์เซียสีฟ้า) มีถนนโบราณติดต่อกับเมืองศรีพะโล      ซึ่งเป็นเมืองท่าสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕–๒๑  (อยู่ตำบลหนองไม้แดง  อำเภอเมืองชลบุรี  ลุ่มน้ำบางปะกง)ซึ่งพบเครื่องถ้วยจีน และญี่ปุ่นจากเตาอะริตะแบบอิมาริ อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒       และติดต่อถึงเมืองสมัยทวาราวดีที่อยู่ใกล้เคียงกันเช่นเมืองศรีมโหสถ (ที่อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรี)    เมืองดงละคร(ที่นครนายก)   เมืองท้าวอุทัย และ บ้านคูเมือง(จังหวัดฉะเชิงเทรา) 
                ชุมชนเมืองสมัยทวาราวดี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีเมืองฟ้าแดดสงยาง หรือฟ้าแดดสูงยาง(ที่อำเภอกมลาไสยจังหวัดกาฬสินธุ์) ภูพระบาท(ที่อุดรธานี) เมืองโบราณที่พบในอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย  จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครพนม  จังหวัดสกลนครและเมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว
                ส่วนชุมชนเมืองสมัยทวาราวดีในภาคใต้นั้น ปรากฏว่าอิทธิพลของอาณาจักรทวาราวดีนั้น สามารถแพร่ลงไปถึงเมืองไชยา(สุราษฎร์ธานี)  เมือง นครศรีธรรมราช และเมืองยะรัง( ปัตตานี) ของอาณาจักรศรีวิชัยด้วย  
             อาณาจักรทวารวดีนั้นจึงเป็นดินแดนเป็นของ ชนชาติมอญโบราณ มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ( ลุ่มแม่น้ำท่าจีนหรือนครชัยศรี) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้(ลพบุรี)  ต่อมาได้ขยายอำนาจขึ้นไป ถึงเมืองหริภุญชัยหรือลำพูน  มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ.๑๑๐๐ พระนางจามเทวี ราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ลพบุรี ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งเมืองหริภุญชัยที่ลำพูน  ส่วนที่เมืองนครปฐมนั้นมีการพบ พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเชื่อกันว่าบรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อแรกสร้างมีลักษณะคล้ายสถูปแบบสาญจี ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้ในอินเดีย เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๓-๔ และมีการพบจารึกภาษาปัลลวะ บาลี สันสกฤต และ ภาษามอญ ที่บริเวณพระปฐมเจดีย์และบริเวณใกล้เคียง พบจารึก ภาษามอญ อักษรปัลลวะ บันทึกเรื่องการสร้างพระพุทธรูป เสาหงส์ วิหาร และแนวต้นมะพร้าวเป็นอาณาเขตพระอารามที่วัดโพธิ์ร้าง  จังหวัดนครปฐม อายุราว พ.ศ.๑๒๐๐ (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระปฐมเจดีย์)     และพบ จารึกมอญ ที่ลำพูนอายุราว พ.ศ.๑๖๒๘(ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หริภุญไชย จังหวัดลำพูน) 
                สำหรับเมืองอู่ทองนั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจรเข้สามพันโบราณ เป็นสาขาของแม่น้ำท่าจีน ซึ่งเปลี่ยนทางเดิน ด้วยปรากฏมีเนินดินและคูเมืองโบราณ เป็นรูปวงรีกว้างประมาณ ๑ กิโลเมตร ยาวประมาณ ๒ กิโลเมตร  มีป้อมปราการก่อด้วยศิลาแลง มีการพบโบราณวัตถุอายุสมัย พ.ศ.๖๐๐–๑๖๐๐ จำนวนมาก      นอกจากนี้ยังได้สำรวจพบแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกหลายแห่งเช่น
               แหล่งโบราณคดีที่โบราณสถานคอกช้างดิน  ตำบลจรเข้สามพัน  อำเภออู่ทอง  จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น  พบเงินเหรียญสมัยทวารวดีเป็นตรารูป แพะ สายฟ้า พระอาทิตย์ พระจันทร์ และรูปหอยสังข์  บางเหรียญจารึกอักษรปัลลวะและพบปูนปั้นรูปสตรีหลายคน เล่นดนตรีชนิดต่างๆ  เป็นต้นเป็นหลักฐานนี้ชี้ให้เห็นว่า เมืองอู่ทอง มีฐานะเป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรทวารวดี 
                เมืองนครไชยศรีโบราณ  ซึ่งอยู่บริเวณที่ตั้งของวัดจุลประโทณ จังหวัดนครปฐมในปัจจุบัน และถัดออกจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางทิศใต้ ประมาณ ๕๒ กิโลเมตรนั้นมีที่ดอน สำรวจพบคูเมืองโบราณรูปสี่เหลี่ยม ขนาด ๓,๖๐๐ x ๒,๐๐๐ เมตร มีลำน้ำบางแก้วไหลผ่านกลางเมืองโบราณออกไป ตัดคลองพระประโทณ ผ่านคลองพระยากง บ้านเพนียด  บ้านกลาง บ้านนางแก้ว แล้วออกสู่แม่น้ำนครไชยศรี       พบโบราณวัตถุสมัยทวารวดีจำนวนหนึ่ง ของเมืองนครไชยศรีโบราณแห่งนี้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
                เมืองโบราณกำแพงแสน  จังหวัดนครปฐม  มีลักษณะคล้ายสำเภาโบราณ    ขนาดประมาณ ๓๒๕ ไร่ ( ปรากฏคันดินคูน้ำ สระน้ำและทางน้ำเก่าต่อกับห้วยยาง ปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะตื้นเขิน) เป็นเมืองใหญ่ของ อาณาจักรทวารวดีโบราณ มีวัดพระประโทณเป็นศูนย์กลาง ลักษณะเกือบเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส  มีการขุดสระน้ำขนาดต่าง ๆ  มีคลองขุดจากคลองพระประโทณผ่านไปยังดอนยายหอม ยาวประมาณ ๘ กิโลเมตร  มีเส้นทางน้ำหลายสายที่ยังปรากฏอยู่  เช่น คลองบางแก้ว คลองรังไทร และคลองรางพิกุล   เป็นต้น  
              การพบศิลาสลักรูปวงล้อพระธรรมจักร์กับกวางหมอบ  เปลือกหอยทะเล สมอเรือ และสายโซ่เรือขนาดใหญ่ในเมืองนครปฐมโบราณ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าในสมัยก่อนนั้น เมืองโบราณแห่งนี้อยู่ติดกับทะเล หรือเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรทวารวดี    ซึ่งมีการพบชิ้นส่วนของพระพุทธรูปจำนวนมาก  และยังได้พุทธรูปหินทรายสลักประทับนั่ง ขนาดใหญ่ สมัยทวารวดี  จำนวน ๔ องค์  ที่วัดพระเมรุ  ใกล้องค์พระปฐมเจดีย์ ปัจจุบันนี้พระพุทธรูปองค์หนึ่ง ได้อัญเชิญไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยาจังหวัดอยุธยา  องค์ที่สองอยู่ในอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์   องค์ที่สามอยู่ที่ลานประทักษิณด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ และองค์ที่สี่ อยู่ในวิหารน้อยวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดอยุธยา นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท ศิลปทวารวดีสลักอยู่ในถ้ำฤาษี เขางู จังหวัดราชบุรี ด้วย  จากหลักฐานที่พบสถาปัตยกรรมศิลปสมัยทวารวดี จากลายปูนปั้นประดับฐานเจดีย์ที่วัดพระเมรุ และเจดีย์จุลประโทณที่เมืองนครชัยศรี หรือนครปฐมโบราณนั้นปรากฏว่า เป็นศิลปที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับ อานันทเจดีย์ที่พุกาม  ประเทศพม่า   
              นอกจากนี้ยังมีแหล่งโบราณคดีอื่นๆ ที่สำรวจพบเมืองโบราณ และชิ้นส่วนรูปปั้นดินเผา   ปูนปั้นลายผักกูดศิลปสมัยทวารวดีอีก เช่น ที่บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี 
             ในจังหวัดเพชรบูรณ์ขุดพบธรรมจักรศิลาขนาดใหญ่ สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๓–๑๔ ที่เมืองโบราณศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ นั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าชุมชนแห่งนี้ ได้มีการนับถือศาสนาพุทธแล้ว   ส่วนหลักฐานสำคัญของพุทธศาสนาสมัยทวารวดีนั้น พบที่วัดโพธิ์ชัยเสมาราม เมืองฟ้าแดดสงยาง(หรือฟ้าแดดสูงยาง) อำเภอกมลาไสย  จังหวัดกาฬสินธุ์   ใกล้แม่น้ำชี ซึ่งพบเสมาหินจำนวนมาก เป็นเสมาหินทรายสมัยทวารวดี ขนาดใหญ่อายุราว ๑,๒๐๐ ปี มีอายุเก่าแก่กว่าสมัยขอมนครวัด   ใบเสมานั้นจำหลักเรื่องพุทธประวัติ โดยรับอิทธิพลมาจากศิลปแบบคุปตะ ของอินเดีย พบเสมาหินบางแท่งมีจารึกอักษรปัลลวะ ของอินเดียใต้ไว้ด้วย
                  บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท  อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี  พบภาพสลักภาพนูนสูง อยู่ในซอกผนังหินทราย เป็นพระพุทธรูปศิลปทวารวดี ประทับนั่งขัดสมาธิ ในบริเวณที่เรียกว่าถ้ำพระ เศียรพระพุทธรูปองค์นี้ถูกทำลายต่อมาได้ซ่อมแซมให้สมบูรณ์แล้ว
              สำหรับดินแดนภาคใต้นั้น มีการขุดพบดินเผาลวดลายดอกบัวศิลป สมัยทวารวดีที่เมืองโบราณยะรัง    จังหวัดปัตตานี ใช้สำหรับตกแต่งโบราณสถาน   สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงการสิ้นสุดของอาณาจักรทวารวดีไว้ว่า
                “พระเจ้าอนุรุทรมหาราชแห่งเมืองพุกามประเทศพม่า   ทรงยกกองทัพเข้ามาโจมตีของอาณาจักร
                  ทวาราวดี  จนทำให้อาณาจักรทวารวดีสลายสูญไป”
                ต่อมาอาณาจักรขอมหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ สวรรคตใน พ.ศ. ๑๗๓๒ อำนาจก็เริ่มเสื่อมลง ทำให้บรรดาเมืองประเทศราช ที่อยู่ในอิทธิพลของขอมต่างพากันตั้งตัวเป็นอิสระ    ดังนั้นในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พ่อขุนบางกลางหาว  เจ้าเมืองบางยาง และพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ซึ่งได้พระนางสิขรเทวีพระธิดาขอม เป็นมเหสีและได้รับพระนามว่า”ขุนศรีอินทราทิตย์”พร้อมพระขรรค์ชัยศรี ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจจากขอม  และให้พ่อขุนบางกลางหาว  สถาปนาเป็น พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และประกาศตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นอิสระจากการปกครองของขอม
               พ่อขุนรามคำแหง พระราชโอรสของขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ครองราชย์และทรงดัดแปลงอักษรขอมและ มอญ มาประดิษฐเป็นลายสือไทย
                ในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง ได้ระบุชื่อเมืองที่อยู่ในอำนาจของสุโขทัยหลายเมือง    ก่อนนั้นเมืองเหล่านี้ เคยอยู่ในอาณาจักรทวารวดีโบราณ เช่นเมืองสุพรรณภูมิ(สุพรรณบุรี) เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองแพรก(ชัยนาท) เป็นต้น
                 ปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ พระเจ้าไชยศิริ โอรสของพระเจ้าพรหมแห่งโยนกนครทางเหนือ ถูกกษัตริย์เมืองสุธรรมวดียกกองทัพมารุกราน พระเจ้าไชยศิริสู้ไม่ได้จึงหนีข้าศึกมาเมืองกำแพงเพชร และอพยพหนีลงมาถึงดินแดนที่เคยเป็นอาณาจักรทวารวดี แล้วตั้งราชวงศ์อู่ทองขึ้น 
                 ต่อมา พ.ศ. ๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองทรงย้ายราชธานีจากเมืองอู่ทอง มาตั้งมั่นที่บริเวณใกล้เมืองอโยธยาเดิมที่ปละคูจาม ใกล้หนองโสน (อาจเป็นเพราะแม่น้ำจรเข้สามพันเปลี่ยนทางเดิน หรือ เกิดโรคระบาด) แล้วพระองค์ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นามว่า “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยาฯ”

ประวัติศาสตร์ไทย

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

"สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"

ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ

"สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่"

สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"

ปฎิวัติสยาม 2475


การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 (หรือเรียกว่าเป็น รัฐประหาร หรือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง) เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกันขึ้นเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของสยาม ที่เรียกตัวเองว่า "คณะราษฎร" โดยเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าวยังทำให้ประชาชนชาวสยามได้รับรัฐธรรมนูญฉบับแรกอีกด้วย
เบื้องหลัง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยในหลายด้าน แต่การปฏิรูปรัฐธรรมนูญกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้าซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่พวกหัวก้าวหน้าและพวกหัวรุนแรง ในปี พ.ศ. 2454 ได้เกิดกบฏ ร.ศ. 130 ซึ่งดำเนินการโดยคณะนายทหารหนุ่ม แต่ล้มเหลว เป้าหมายของคณะคือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองและล้มล้างระบอบเก่าและแทนที่ด้วยระบบรัฐธรรมนูญตะวันตกที่ทันสมัย และอาจต้องการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ด้วยพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นด้วย การปฏิวัติดังกล่าวล้มเหลวและผู้ก่อการถูกจำคุก นับแต่นั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงละเลิกความพยายามส่วนใหญ่ในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและทรงปกครองประเทศต่อไปภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมีข้อยกเว้นบ้างที่โปรดฯ แต่งตั้งสามัญชนบางคนสู่สภาองคมนตรีและรัฐบาล
ต่อมา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ทรงสืบราชสมบัติสืบต่อจากพระเชษฐาเป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงสืบช่วงปกครองประเทศในวิกฤตการณ์ พระเชษฐาของพระองค์ทรงได้ทำให้สถานะของประเทศเกือบจะล้มละลาย เพราะทรงมักจะใช้เงินจากกองคลังมาปกปิดการขาดดุลของท้องพระคลังข้างที่ และข้อเท็จจริงยังมีว่ารัฐและประชาชนถูกบังคับให้จ่ายเงินแก่พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ซึ่งมีวิถีชีวิตอันหรูหราฟุ่มเฟือย พระองค์ได้ทรงรีบจัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นเป็นองค์กรหลักในการปกครองรัฐ เพื่อพยายามแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กลายเป็นว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เห็นอกเห็นใจ โดยทรงตัดรายจ่ายในพระราชวังและเสด็จพระราชดำเนินทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง และเมื่อเสด็จกลับมายังพระนคร พระองค์ทรงทำให้เป็นที่ยอมรับและโดดเด่นแก่หมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานครซึ่งเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยทรงประกอบพระราชกรณียกิจสาธารณะหลายอย่าง จนถึงเวลานี้ นักเรียนหลายคนที่ถูกส่งไปศึกษา ณ ต่างประเทศเมื่อหลายทศวรรษก่อนได้เริ่มเดินทางกลับประเทศแล้ว แต่นักเรียนเหล่านี้กลับขาดโอกาส การตั้งมั่นโดยพระบรมวงศานุวงศ์และความล้าหลังของประเทศ ซึ่งที่สุดแล้วได้กลายมาขจัดภาพลวงตาของสถานะเดิมมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึง พ.ศ. 2473 สถานการณ์โลกได้ทวีความเลวร้ายลงเกินกว่าที่ประเทศจะสามารถรับไหวเมื่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่มและความล่มสลายทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบมาถึงสยาม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสนอให้จัดเก็บภาษีรายได้ทั่วไปและภาษีอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนยากจน แต่นโยบายดังกล่าวถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงจากสภา ซึ่งสภาได้เปลี่ยนไปลดค่าตอบแทนของข้าราชการพลเรือนและลดงบประมาณด้านการทหารแทน ทำให้ชนชั้นสูงในประเทศส่วนใหญ่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายทหารโกรธมาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงยอมรับว่าพระองค์ทรงขาดพระราชกรณียกิจด้านการคลังอย่างเปิดเผย พยายามต่อสู้กับพระบรมวงศานุวงศ์ที่อาวุโสกว่าในประเด็นดังกล่าว แต่ก็สำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนพระราชปณิธานไปเป็นการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะนำประชาธิปไตยเข้าสู่สยาม ด้วยความช่วยเหลือจากพระบรมวงศานุวงศ์อีกสองพระองค์และที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศชาวอเมริกัน เรย์มอนด์ บาร์ทเล็ตต์ สตีเฟนส์ ถึงแม้ว่าจะได้รับการกราบทูลทัดทานว่าประชาชนสยามยังไม่พร้อม แต่พระองค์ยังทรงมุ่งมั่นที่จะมอบรัฐธรรมนูญแก่ปวงชนก่อนงานเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีราชวงศ์จักรี ในปี พ.ศ. 2475อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าวได้ถูกปฏิเสธโดยพระบรมวงศานุวงศ์ในอภิรัฐมนตรีสภา
เมื่อสิ้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จออกจากกรุงเทพมหานครในช่วงเสด็จแปรพระราชฐานฤดูร้อน โดยทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยพระองค์ทรงเสด็จไปยังพระตำหนักฤดูร้อน ซึ่งถูกเรียกว่า "วังไกลกังวล" ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
อาจกล่าวได้ว่า "กบฏ ร.ศ. 130" เป็นแรงขับดันให้คณะราษฎร ก่อการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยภายหลังการยึดอำนาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำการกบฏ ร.ศ. 130 ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม" และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า "พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการกระทำเมื่อ ร.ศ. 130"

แหล่งที่มา www.oknation.net/blog/kookkae/2009/06/24/entry-1

กรุงแตก เจ้าตากฯ


วีรกรรมการรบ

นับแต่ครั้งที่พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาเมื่อก่อนเสียกรุง จวบจนสิ้นรัชสมัยของพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องทรงกรำศึกทั้งทางเรือและทางบกถึง ๓๐ ครั้ง เป็นศึกที่ทำกับพม่าเสีย ๑๐ ครั้ง ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ใช้ยุทธวิธีในการศึก ด้วยการผสานกำลังทัพเรือ และ กำลังทัพบกเข้าด้วยกัน ทั้งเพื่อการกู้อิสรภาพของไทยประการหนึ่ง เพื่อรวบรวมอาณาจักรไทยให้เป็นปึกแผ่นประการหนึ่ง เพื่อการปราบจลาจลประการหนึ่ง และเพื่อการแผ่พระราชอาณาจักรให้กว้างขวาง มีการรบเพียง ๗ ครั้งเท่านั้น ที่ได้โปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่เป็นแม่ทัพ ส่วนการรบทั้ง ๒๓ ครั้งนั้น ทรงเป็นแม่ทัพนำทหารร่วมเป็นร่วมตายในสมรภูมิรบตลอดมา อาทิ

เมื่อครั้งตีจันทบุรี ทรงประกาศให้ทหารทุบหม้อข้าว และพระองค์เองทรงช้างพังคีรีบัญชรบุกเข้าชนประตูเมือง จนพังทลายลงและเข้าเมืองได้ในที่สุด เมื่อครั้งการรบที่ตำบลเกยไชย ทรงถูกกระสุนปืนข้าศึกที่พระชงฆ์เบื้องซ้าย จนต้องยกทัพกลับ

ตอนเสียกรุงใหม่ๆว่ากันว่าพม่าเล่นเสียคนไทยขยาดและหวาดกลัวมาก หนีตายกันไปอยู่ป่าก็มาก พระยาตากต้องแสดงฝีมือด้วยการรบหลายครั้งกว่าจะเรียกขวัญกำลังใจคนไทยกลับมาได้ ตัวอย่าง สงครามที่บางแก้ว เมืองราชบุรี ทรงทนล้อมพม่าไว้จนหมดเสบียงอดอยากสาหัส ไทยสามารถจับเชลยได้ทั้งกองทัพ ทำให้คนไทยหมดความกลัวพม่าไปได้ตั้งแต่นั้น


สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ปรีชาสามารถ ทั้งในเชิงการรบทางเรือ และการรบทางบก ในพระฐานะแห่งปฐมกษัตริย์จอมทัพเรือ แม้จะมิได้ปรากฏหลักฐานว่าทรงเคยศึกษาวิชาการด้านการรบทางเรือ และ มิเคยรับราชการในเขตเมืองที่ติดทะเล แต่ทรงรอบรู้และปรีชาสามารถในการศึกษาทางทะเล ทรงทราบถึงความเป็นไปของกระแสคลื่น ระดับน้ำทะเลและฤดูมรสุม นำประโยชน์จากความผันผวนของคลื่นลมมาใช้ จนสามารถนำเรือรบนับร้อยลำ และ กลุ่มทหารเพียงน้อยนิด ฝ่ากระแสลมและเกลียวคลื่น สู้การรบอันยิ่งใหญ่ทางเรือถึง๑๑ ครั้ง (มีการตั้งข้อสังเกตในหนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ของ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ว่าก่อนเข้ารับราชการนั้น น่าจะทรงเป็นพ่อค้าที่ขึ้นล่องไปจนถึงเมืองเหนือมาก่อน)

ในพระฐานะจอมทัพ ทรงเชี่ยวชาญการศึกทั้งฝีมือการรบและการศึกษาภูมิประเทศ เพื่อยังประโยชน์ในการเอาชัย ผสานและเลือกสรรยุทธวิธีการสงครามได้อย่างลึกซึ้ง จากวีรกรรมที่ทรงนำทหารตีฝ่าวงล้อมข้าศึกเมื่อคราวใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยา มาถึงการรบที่บ้านพรานนก เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๓๑๐ เป็นเสมือนแม่แบบที่ประทับอยู่ในความทรงจำของทหารไทยรุ่นหลัง ด้วยว่าพระยาตากได้สร้างวีรกรรมการรบบนหลังม้าที่เลื่องลือยิ่ง ทรงเอาชนะพม่าซึ่งติดตามมาภายหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกได้ ด้วยกำลังทหารเพียงห้านายต่อสู้บนหลังม้ากับทหารม้าพม่าถึง ๓๐ นาย

ในเวลาต่อมากองพันทหารม้า จึงถือวันนี้เป็น วันปฏิญาณทหารม้า ด้วยสำนึกในความกล้า เข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยวในการศึกของพระองค์เมื่อครั้งนั้น

ปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝาง

เมื่อครั้งที่เข้าตีชุมชนเจ้าพระฝาง( เป็นพระ ) ที่สวางคบุรี เมื่อจ.ศ.๑๑๓๒ ปีขาล มีการบันทึกไว้ว่าเป็นชุมนุมที่ดำเนินการปกครองนอกรีตของราชอาณาจักรที่สุด คือขาดระเบียบ ชุมนุมเล็กๆเที่ยวปล้นสะดมชุมชนอื่นๆระบาดมากขึ้น หลังจากที่เจ้าพระฝางหนีไปแล้ว พระสงฆ์ในแถบภาคเหนือจึงจำต้องพิสูจน์ตนเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยการดำน้ำ ผู้ใดแพ้จะถูกสักข้อมือมิให้บวชได้อีก หากดำได้เสมอนาฬิกาก็ให้บวชใหม่ โดยต้องเย็บจีวรใหม่มิให้ใช้ของเดิมที่เป็นราคี ว่ากันว่าครั้งนั้นไตรจีวรของบรรดาพระสงฆ์ผู้แพ้แก่การพิสูจน์ ถูกเผากองพะเนิน เอามาผสมน้ำรักเป็นสมุดทาพระมหาธาตุเมืองสวางคบุรี พวกที่ไม่ยอมรับแล้วแพ้แก่นาฬิกาก็ต้องพระราชอาญา ประหารชีวิต

มีความที่บันทึกไว้ในพงศาวดารว่า “..แต่งเครื่องพลีกรรมเทวดาพร้อมแล้ว ทรงพระอธิษฐานให้พระบารมีนั้นช่วยอภิบาลรักษาพระสงฆ์ทั้งปวง ว่าภิกษุองค์ใดมิได้ขาดสิกขาบทจัตุปาราชิก ขอให้พระบารมีโพธิญาณของโยม(พระเจ้าตากสิน) และอานุภาพเทวดาอันศักดิ์สิทธิ์ช่วยอภิบาลรักษาพระผู้เป็นเจ้า อย่าให้แพ้แก่นาฬิกาได้ ถ้าและภิกษุรูปใดศีลวิบัติด้วยจัตุปาราชิก จงสังหารให้แพ้แก่นาฬิกาให้เห็นประจักษ์แก่ตาโลก..


แหล่งอ้างอิง www.moomkafae.com/index.php?lay=show&ac=article